เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรม มันจะเป็นธรรมหรือเป็นโลกก็ไม่รู้ แต่เวลาฟังธรรม ธรรมะเวลาออกจากหัวใจที่เป็นธรรม มันเป็นธรรมออกมา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ในมุตโตทัย เห็นไหม แต่หัวใจของใครล่ะ ทองคำอยู่ในที่ไหน ถ้าทองคำอยู่ในร้านคือทองคำที่หลอมแล้ว..เป็นทองคำบริสุทธิ์ ถ้าทองคำที่อยู่ในเหมือง...

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ออกจากใจที่บริสุทธิ์ ออกจากใจที่เป็นกิเลส.. กิเลสหนา กิเลสบาง เห็นไหม ธรรมะมันออกได้มากได้น้อย ฉะนั้นเวลาเราบอกว่านี่สัจธรรมๆ ใช่ ! สัจธรรม แต่เรามีสิ่งใดที่เป็นสัจธรรมล่ะ

ชีวิตนี้ต้องดำเนินไป เห็นไหม นี่วันคืนล่วงไปๆ หนึ่งวันเราต้องดำเนินชีวิตอย่างใด การดำรงชีวิต.. ชีวิตของเรา ชีวิตนี้ต้องดำเนินไป แล้วจิตของเราล่ะ จิตของเรานี่เราบอกว่าถ้าเวลาเราสิ้นชีวิตไปแล้ว เราตายเราก็จบ.. มันไม่จบหรอก จิตนี้ไม่เคยตาย ! จิตนี้ไม่เคยตายนะ แต่ ! แต่คนนี่ตาย เพราะคนตาย คนเป็นวาระ เวลาเกิดเป็นภพเป็นชาตินี่คนตาย ชีวิตต้องดำเนินไป แล้วเราดำเนินไปอย่างใดล่ะ

การดำเนินไปของเรา เห็นไหม ถ้าเรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราศึกษาธรรม.. ศึกษาธรรม คนป่วยคนไข้ เวลาดำรงชีวิตอยู่เขาต้องรักษาเพื่อให้ความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นหายไป ชีวิตนี้ยังพอทนอยู่ได้ หัวใจของเรามันมีความทุกข์ร้อนในหัวใจ เราศึกษาธรรมขึ้นมา นี่ธรรมโอสถ !

ถ้าธรรมโอสถ.. เราศึกษาธรรมโอสถขึ้นมา แล้วเรามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราใช้ในชีวิตประจำวันของเรา จิตใจนี้มีธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ถ้าจิตใจนี้มีธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง มันไม่ใช่ไปกดดันตัวเองจนเกินไป แต่ในปัจจุบันนี้เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา เราจะโทษตัวเอง โทษทุกอย่างเลย แต่พอมีธรรมะขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “นี่มันเป็นสัจจะ.. มันเป็นความจริง”

ความจริงมันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าความเป็นจริงอย่างนี้ เราไม่มีธรรมะ.. คือเราไม่มีธรรมะมาแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นความจริงชั่วคราว ความจริงชั่วคราวเห็นไหม พระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก ความเร่าร้อน ความทุกข์ยากนี้มันเป็นอนิจจัง มันเกิดมา มันตั้งอยู่ แล้วมันดับไป นี่สิ่งนี้มันเป็นความจริง เราปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ ! แต่ถ้ามีธรรมะขึ้นมามันเข้าใจสิ่งนี้

ยา.. ธรรมโอสถมันมาเยียวยา เห็นไหม เยียวยาว่าสิ่งนี้เป็นความจริง แต่ความจริงนี้เป็นความจริงชั่วคราวเพราะมันเป็นสมมุติ ! ความจริงในสมมุติ.. ความจริงในบัญญัติ.. ความจริงในวิมุตตินี่ความจริงสิ่งใด

ถ้าเรามียา ยาของเรามีคุณภาพมาก ยาของเรามีคุณค่ามาก เห็นไหม ใจนี้มันพ้นออกไปเป็นวิมุตติ มันเป็นวิมุตติไม่มีสิ่งใดที่เข้าไปกระเทือนมันได้ ไม่มีสิ่งใดเข้าไปถึงหัวใจอย่างนี้ได้เลย แต่หัวใจของเราเป็นสมมุติ พอเป็นสมมุติขึ้นมานี่สมมุติหยาบ มันก็รับแต่สิ่งที่หยาบๆ มา แล้วไม่มีธรรมโอสถ ไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ศึกษาธรรมะนี้มาเยียวยา ไม่ได้มาเยียวยามันก็เจ็บช้ำน้ำใจ จิตใจมันเจ็บช้ำน้ำใจ กิเลสมันเหยียบย่ำ กิเลสมันทำลายนี่เราก็ทุกข์

แต่ถ้าเรามีธรรมะ เห็นไหม นี่คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหาหมอ หายาเพื่อรักษา เพื่อหัวใจของเขา นี่พอประทังชีวิตไป เวลาพระเราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะถามว่า “เธอยังพอทนได้อยู่หรือ.. เธอพอจะทนได้อยู่หรือ เธอทนชีวิตนี้ได้ไหม เธอทนความทุกข์ยากได้ไหม เธอทนไอ้กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจได้ไหม”

แต่ของเรามันมีอยู่ แล้วเรานี่เราอยู่กับโลก เห็นไหม ชีวิตต้องดำเนินไป แต่ดำเนินไปในแบบเราไง ดำเนินไปแบบว่า นี่ก็ทำบุญแล้ว ทุกอย่างก็ทำบุญแล้ว.. เขาทำบุญนี้เขาเป็นอุบาย เขาเป็นอุบายให้เสียสละ แล้วเราได้ศึกษาธรรมมันเป็นอุบาย บุญกุศลนี้เป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสเหมือนธุรกิจ ธุรกิจมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันตลอดไป

บุญกุศล เห็นไหม ทำดีทำชั่วมันมีตลอดไป ถ้ามีตลอดไปนี่ทำบุญ ทำบุญทำดี ดีกว่าทำชั่ว ถ้าทำชั่ว เอารัดเอาเปรียบ เอาแต่เห็นแก่ตัว นี่ทำความชั่ว.. ทำความดีเสียสละ เสียสละเจือจานนี่ทำความดี ชีวิตต้องดำเนินไป จะดำเนินไปอย่างใด เราจะดำเนินไปอย่างไร แต่ถ้าเรามีกิเลสอยู่เราดำเนินไปไม่ได้ เราดำเนินไปเราบอกว่าเราเสียเปรียบ เรามีแต่ความทุกข์ร้อน นี่ชีวิตดำเนินไปโดยโลก ถ้าชีวิตดำเนินไปโดยธรรม เห็นไหม เราเสียสละ

เราเสียสละนี้เราพอใจนะ เราทำของเรา เราทำบุญกุศลของเรา นี่ของๆ เรา.. เราเสียสละทำไมเราเสียสละได้ล่ะ เพราะธรรมโอสถ ธรรมโอสถมันกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงหัวใจเรา ว่าหัวใจเรา เห็นไหม เราเกิดมานี้เราเกิดมามีบุญกุศลนะ เรามองไปสังคมโลกสิ คนทุกข์คนยาก มองไปสิในแอฟริกาเขาทุกข์เขายาก เขาเกิดในประเทศอันอย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอก “เกิดในประเทศอันสมควร”

นี่บุญกุศลทำให้เราเกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดในประเทศที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เกิดในประเทศที่ว่าร่มเย็นเป็นสุข เกิดในภูมิภาค เกิดในต่างๆ นี้เกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อแม่ที่สมควร.. เกิดจากประเทศที่สมควรเพราะพ่อแม่เป็นแดนเกิด เพราะเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ พอเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ แม่เป็นคนดี แม่พาลูกเข้าวัด แม่พาให้ลูกมีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม นี่แล้วเกิดในธรรม !

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเกิดวันวิสาขบูชา เวลาเกิดนะเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นี่เกิดเป็นมนุษย์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาด้วยมรรคญาณนี่เกิดโดยธรรม.. จิตใจ เห็นไหม มันเกิดอีกทีหนึ่ง เกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นราชกุมารไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่พอเวลาวันวิสาขะ เวลาใช้มรรคญาณ ใช้สัจธรรมนี่ตรัสรู้เองโดยชอบ นั้นเกิดอีกทีหนึ่ง เห็นไหม นี่จิตใจเป็นแดนเกิด

นี่จิตมันเกิดเกิดที่ไหน.. ทีนี้เราเกิดมาแล้ว เราเกิดมาในพุทธศาสนา เราทำคุณงามความดีเราขนาดไหนล่ะ เราตั้งใจของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา นี่คนทำดีด้วยหยาบๆ อู้ฮู.. เวลาเสียสละทาน เวลาจะทำของเราขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันเป็นกำปั้นทุบดิน มันไม่มีทางออกอย่างใด เห็นไหม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราฝึกหัด

นี้เป็นบทฝึกหัด บททดสอบนะ ฝึกหัดว่าจิตใจเราเป็นธรรมไหม ถ้าจิตใจเราเป็นธรรมแต่เราไม่มีสิ่งใดเลยก็อนุโมทนา เห็นไหม ความคิดที่ดี ความสิ่งที่ดี เห็นคนทำคุณงามความดีแล้วเราอนุโมทนาไปกับเขา เราชื่นใจไปกับเขา นี่สังคมเป็นสุขนะ.. นี้เห็นใครทำคุณงามความดีนี่ปัดแข้งปัดขา อย่างนี้มันไม่อนุโมทนา เห็นใครทำคุณงามความดีแล้วปัดแข้งปัดขานี้มันอนุโมทนาที่ไหน แต่ถ้าเห็นคนทำคุณงามความดี เราอนุโมทนาไปกับเขา โอ้โฮ.. คนนั้นเป็นคนดีเนาะ เป็นตัวอย่างที่ดี สังคมที่ดี นี่มันออกมาจากใจ

ทาน.. มันมี เห็นไหม เวลาเราทานเป็นวัตถุได้ แต่เวลาทานความทุกข์ ความทุกข์ความโศกที่อยู่ในใจนี้ เราจะเอาออกจากใจไปได้อย่างไร ทาน.. สิ่งที่เป็นวัตถุนี้เราเสียสละ โดยเสียสละ ยื่นออกไปมันก็จบ มันยังทำได้ลำบาก แล้วเวลาจะทานในหัวใจล่ะ ทานไอ้สิ่งที่มันทุกข์มันยากนี้ล่ะเพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ฝึกไง

เวลาเราไม่ฝึก เห็นไหม ดูสิ ของที่เราได้มา ก่อนจะมาทำบุญเข้าครัวทำอาหารต่างๆ กว่าจะเป็นอาหารมา นี่เป็นอาหารมาเพื่ออะไร อาหารเพื่อเป็นปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ นี่สมณะผู้ไม่มีอาชีพ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ให้ชีวิตนะ.. ทำอาหารนี้เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของสมณะ ของครูบาอาจารย์ของเรา นี่เป็นวัตถุที่เราแสวงหา แต่เวลาเราจะทานความทุกข์นี่ แล้วเราเอาอะไรไปทาน มันก็ต้องมีสติสิ มันมีสติมันมีปัญญาของเรา ถ้ามีสติขึ้นมามันจับได้ อ๋อ.. อันนี้ทุกข์

อันนี้มันทุกข์นะ ร้องไห้ โฮ.. โฮ.. เลยว่าทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่นั่นมันทำเรา แต่ไม่รู้หรอกทุกข์อยู่ที่เราคิด ทุกข์มันเกิดที่ใจของเรา เวลาเราทำทานเรายังต้องหาวัตถุไปทำทาน แต่เวลาจะสละทุกข์ไม่รู้ว่าทุกข์อยู่ที่ไหน โอ๋ย.. ทุกข์เพราะคนนั้นมันว่าเรา ไอ้คนที่ว่ามันกลับบ้านไปนอนแล้ว มันมีความสุข มีตีปีกเพราะมันได้ว่าเอ็ง แต่เอ็งเจ็บปวดน้ำใจเอ็ง เอ็งช้ำอยู่ในใจนี่ มึงเกี่ยวอะไรกับคนว่าเอ็ง

มันเกี่ยวที่หัวใจไง หัวใจของเรารับไว้ ภวาสวะภพ ภพรับรู้ไว้ ภพซับไว้ แล้วมันก็ทุกข์อยู่ที่ใจนี้ เห็นไหม เวลาเสียสละทานเราเอาวัตถุเสียสละ เวลาเสียสละทุกข์มันเสียสละไม่เป็น มันหาไม่เจอ มันบอกทุกข์อยู่ในอริยสัจ ทุกข์อยู่ในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. ทุกข์มันเป็นสัจจะ แต่ไอ้ที่มันเผาใจอยู่นี้มันไม่รู้

เราเสียสละ.. นี่การทำบุญกุศล เห็นไหม เราทำบุญกุศลแล้วฟังธรรม พอฟังธรรมแล้วเรามีสติปัญญา พอมีสติปัญญานี่เรายับยั้งของเรา แล้วแก้ไขของเรา เราทำของเรา ถ้าทำของเรานะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

“ถ้ามีสติ.. นี่สติธรรม ปัญญาธรรม”

สติธรรม ปัญญาธรรม.. ถ้ามีสติมีปัญญาเราจะเห็นเงา เห็นการกระทำ เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ไป แต่นี้เราไม่เห็น เราไม่เห็นพระพุทธเจ้า เห็นแต่พระไตรปิฎก เห็นแต่หนังสือไง เห็นแต่หนังสือใครก็อ่านได้ ใครก็เอาไปเป็นประโยชน์ได้ แล้วแต่เขาจะได้ประโยชน์มากหรือได้ประโยชน์น้อย แต่เพื่อประโยชน์เรานะ ชีวิตต้องดำเนินไป วันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมงชีวิตนี้ก็ต้องดำเนินไป ชีวิตต้องดำเนินไปนี้ดำเนินไปเพื่ออะไร

ถ้าดำเนินไป.. นี่ดูสิ ดูพ่อแม่เห็นลูกเติบโตขึ้นมา ดูดอกไม้สิ ดอกไม้เริ่มแรกผลิ มันเริ่มบานสะพรั่ง โอ้โฮ.. มันสวยงามมาก ลูกเรามันเติบโตขึ้นมานี้ เราอยู่เพื่อลูกเหรอ เราก็อยู่เพื่อลูกอยู่เพื่อชาติตระกูล เห็นไหม ชีวิตต้องดำเนินไป แล้วชีวิตเราล่ะ.. แล้วชีวิตเราวันคืนล่วงไปๆ ล่ะ

สิ่งนี้มันเกิดมามันเป็นผลของวัฏฏะ คือบุญกุศลนะทำให้เกิดเป็นมนุษย์สมบัติ แล้วเราจะอยู่เพื่ออะไร.. นี่อยู่เพื่อโลก เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า “คนเรามีตา ๒ ข้าง ข้างหนึ่งเพื่อโลก ข้างหนึ่งเพื่อธรรม” แต่ถ้า ๒ ข้างมันเอียงไปข้างเดียวเลยทางใดทางหนึ่ง นี่ทางใดทางหนึ่ง แต่เวลามาบวชเป็นพระนี้ทางใดทางหนึ่งไหมล่ะ ทางใดทางหนึ่ง แต่ ! แต่มันก็เป็นโลกนะ พระก็บิณฑบาต พระก็ต้องอยู่ในสังคม นี้ก็โลกอันหนึ่ง เห็นไหม

ในเมื่อเรายังไม่พ้นจากโลกมันก็เป็นโลกวันยังค่ำ แต่นี้ว่าให้มันเป็นปัญญาเข้ามา เป็นบุคลาธิษฐาน เป็นให้หัวใจนี้มันเป็นมีจุดยืนของมัน ไม่ใช่หัวใจนี้มันจะโดนแต่กิเลสมันผลักดันอย่างเดียว จะเอาอย่างเดียว จะเอาตามความคิดความเห็นของตัวอย่างเดียว ไอ้ความคิดความเห็นของตัวนั่นน่ะมันบวกมาด้วยกิเลสหมดเลย ว่าธรรมะๆ นี่แหละ ธรรมะก็อยากได้ธรรมะ อยากเอาธรรมะ ต้องทำให้เป็นอย่างนี้ อ้างนะถ้าใครทำทางจงกรมปูด้วยทองฉันจะเดินจงกรม ถ้าไม่ปูด้วยทองมันไม่ยอมทำ อ้างเล่ห์ไปหมด เวลาจะปฏิบัติอ้างไปหมดทุกอย่างเลย แต่เวลาผลนี้อยากได้ เห็นไหม

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ”

เราทำของเรา เราตั้งสติของเรา มีสมาธิของเรา ถ้าปัญญาของเรามันเกิดขึ้น นี่เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จับผิดคนเทศน์ได้เลย จับผิดครูบาอาจารย์ได้หมดล่ะ คำว่าจับผิด เห็นไหม ถ้าธรรมะด้วยความจับผิด มันก็เป็นอกุศลนะ แต่คำว่าจับผิดของเรานี้คือว่ามันมีสัจธรรม มันมีบททดสอบในหัวใจของเรา ถ้าบททดสอบนี่ธรรมะมีอันเดียว

ศีล สมาธิ ปัญญา.. จะพูดที่ไหน จะพูดอย่างไรมันก็เป็น ศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนกัน อันเดียวกัน ฉะนั้นถ้าเรามีพื้นฐานเราฟังคนพูดนี่ผิดหมด ! ถ้าเรามีจริงนะฟังออกหมด..

นี่ถ้าเราทำของเราได้ “สัจจะมีอันเดียว” นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ธรรมอันนี้ ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไปก็จะตรัสรู้อันนี้ เพียงแต่ว่าบารมีธรรมอายุสั้นหรืออายุยาว อำนาจวาสนามาก หรืออำนาจวาสนาน้อย แต่สัจธรรมมีหนึ่งเดียว ความสะอาดบริสุทธิ์มีหนึ่งเดียว แล้วความสะอาดบริสุทธิ์นี้อยู่ที่อื่นไม่ได้ เว้นไว้แต่หัวใจ เพราะหัวใจมันสกปรก หัวใจมันมีอวิชชา หัวใจมันพาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เป็นต่างๆ เห็นไหม แล้วหัวใจนี้ถ้ามันพัฒนาแล้ว หัวใจนี้เป็นเครื่องรองรับ หัวใจนี้เป็นเครื่องสัมผัส หัวใจนี้จะสะอาดบริสุทธิ์ได้ นี่มันทำได้เพราะเหตุนี้ไง เราถึงว่ามีคุณค่ามาก เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนามีคุณค่ามาก เราจะทำสิ่งใดล่ะ

เรามี ๒ ตา ตาหนึ่งต้องดำรงชีวิต ต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัย อีกตาหนึ่ง เห็นไหม อีกตาหนึ่งเราจะไปได้ไหม แต่ถ้ามั่นคง มีความมั่นใจบวชเป็นพระ ๒๔ ชั่วโมง ลุยปฏิบัติอย่างเดียว ลุยเข้าไปอย่างเดียว จะรู้หรือไม่รู้.. เดี๋ยวนี้การปฏิบัติของเรามันจะพิสูจน์เองว่า เราจริงหรือไม่จริง

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นคน ชีวิตต้องดำเนินไปนะ วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตต้องดำเนินไป แล้วมันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงไปตลอด ความเปลี่ยนแปลง เห็นไหม วัยทำงาน วัยชราภาพวัยต่างๆ เป็นไปตามวัย แม้แต่ความคิดของคนก็เป็นไปตามวัย วัยหนึ่งมีความรู้สึกความนึกคิดอย่างหนึ่ง อีกวัยหนึ่งจะมีความรู้สึกความนึกคิดอย่างหนึ่ง เป็นไปตามวัย นี่ผลของวัฏฏะ

แต่ถ้าธรรมนะ ไม่มีวัย ไม่มีเวลา ไม่มีกาล มั่นคงตลอดไป หนึ่งเดียวตลอดไป นี้เราจะพิสูจน์อย่างไร ในหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ.. นี่ชีวิตดำเนินไปเพื่อธรรม ! เอวัง